วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

สายการบินบางกอกแอร์เวย์

ฝูงบินของเรา

ฝูงบินของเราประกอบด้วยเครื่องบินโดยสารไอพ่นรุ่นแอร์บัส เอ-320 จำนวน 9 ลำ, เครื่องบินโดยสารไอพ่นรุ่นแอร์บัส เอ-319 จำนวน 12 ลำ, เครื่องบินโดยสารรุ่นเอทีอาร์ 72-500 จำนวน 6 ลำ และเครื่องบินโดยสารรุ่นเอทีอาร์ 72-600 จำนวน 8 ลำ แต่ละลำได้รับการตกแต่งด้วยลวดลายสีสันสวยงามสื่อถึงเอกลักษณ์ของแต่ละเส้นทางบินที่ให้บริการ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ บางกอกแอร์เวย์


เครื่องบินโดยสารไอพ่นรุ่นแอร์บัส เอ-320

เครื่องบินโดยสาร 162 ที่นั่ง ประกอบและส่งตรงจากเมืองตูลูซ ประเทศฝรั่งเศส ภายในตัวเครื่องมีพื้นที่รองรับผู้โดยสาร เพิ่มความสะดวกสบายในเที่ยวบินยาว นอกจากนี้ยังขับเคลื่อนด้วยระบบควบคุมการบินแบบฟลาย-บาย-ไวร์ ทำให้กลายเป็นเครื่องบินโดยสารทันสมัยที่สุดรุ่นหนึ่ง

เครื่องบินโดยสารไอพ่นรุ่นแอร์บัส เอ-319

เครื่องบินรุ่นนี้มีความจุเชื้อเพลิงขนาดเดียวกับรุ่น เอ-320 แต่มีความแตกต่างตรงที่แอร์บัสรุ่นนี้ให้บริการใน 2 ระดับชั้นคือ ชั้นธุรกิจและชั้นประหยัด ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติการ ทำให้สามารถบินได้ไกลถึง 6800 กิโลเมตรหรือมากกว่าสำหรับเที่ยวบินยาวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก

เครื่องบินโดยสารรุ่นเอทีอาร์ 72-500

เป็นการร่วมมือกันของฝรั่งเศสและอิตาลี เพื่อผลิตเครื่องบินโดยสารที่ได้รับมาตรฐานด้านความปลอดภัยขนาด 70 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์แบบเทอร์โบ พร็อพ ซึ่งมีที่นั่งกว้างและพื้นที่วางสัมภาระมากเป็นพิเศษ เครื่องบินรุ่นนี้เหมาะแก่การปฏิบัติการระยะสั้นและได้รับความนิยมมากในหลายสายการบินมากกว่า 65 ประเทศทั่วโลก

เครื่องบินโดยสารรุ่นเอทีอาร์ 72-600

เครื่องบินเอทีอาร์ รุ่นใหม่นี้ ประกอบไปด้วย ห้องนักบินที่มีความทันสมัย มีการแสดงผลเป็นระบบดิจิตัลทั้งหมด พร้อมกับที่นั่งที่กว้างขวางสะดวกสบาย และช่องใส่ของเหนือศีรษะที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เครื่องบิน ATR72-600 ได้รับความน่าเชื่อถืออย่างมาก ด้วยมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเป็นเครื่องบินใบพัด (turboprop) ที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในตลาดอีกด้วย

เครื่องบินโดยสาร 162 ที่นั่ง ประกอบและส่งตรงจากเมืองตูลูซ ประเทศฝรั่งเศส ภายในตัวเครื่องมีพื้นที่รองรับผู้โดยสาร เพิ่มความสะดวกสบายในเที่ยวบินยาว นอกจากนี้ยังขับเคลื่อนด้วยระบบควบคุมการบินแบบฟลาย-บาย-ไวร์ ทำให้กลายเป็นเครื่องบินโดยสารทันสมัยที่สุดรุ่นหนึ่ง
                        

เครื่องบินโดยสารไอพ่นรุ่นแอร์บัส เอ-319

เครื่องบินรุ่นนี้มีความจุเชื้อเพลิงขนาดเดียวกับรุ่น เอ-320 แต่มีความแตกต่างตรงที่แอร์บัสรุ่นนี้ให้บริการใน 2 ระดับชั้นคือ ชั้นธุรกิจและชั้นประหยัด ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติการ ทำให้สามารถบินได้ไกลถึง 6800 กิโลเมตรหรือมากกว่าสำหรับเที่ยวบินยาวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
                             

เครื่องบินโดยสารรุ่นเอทีอาร์ 72-500

เป็นการร่วมมือกันของฝรั่งเศสและอิตาลี เพื่อผลิตเครื่องบินโดยสารที่ได้รับมาตรฐานด้านความปลอดภัยขนาด 70 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์แบบเทอร์โบ พร็อพ ซึ่งมีที่นั่งกว้างและพื้นที่วางสัมภาระมากเป็นพิเศษ เครื่องบินรุ่นนี้เหมาะแก่การปฏิบัติการระยะสั้นและได้รับความนิยมมากในหลายสายการบินมากกว่า 65 ประเทศทั่วโลก

เครื่องบินโดยสารรุ่นเอทีอาร์ 72-600

เครื่องบินเอทีอาร์ รุ่นใหม่นี้ ประกอบไปด้วย ห้องนักบินที่มีความทันสมัย มีการแสดงผลเป็นระบบดิจิตัลทั้งหมด พร้อมกับที่นั่งที่กว้างขวางสะดวกสบาย และช่องใส่ของเหนือศีรษะที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เครื่องบิน ATR72-600 ได้รับความน่าเชื่อถืออย่างมาก ด้วยมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเป็นเครื่องบินใบพัด (turboprop) ที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในตลาดอีกด้วย

เครื่องบินโดยสารไอพ่นรุ่นแอร์บัส เอ-320

เครื่องบินโดยสาร 162 ที่นั่ง ประกอบและส่งตรงจากเมืองตูลูซ ประเทศฝรั่งเศส ภายในตัวเครื่องมีพื้นที่รองรับผู้โดยสาร เพิ่มความสะดวกสบายในเที่ยวบินยาว นอกจากนี้ยังขับเคลื่อนด้วยระบบควบคุมการบินแบบฟลาย-บาย-ไวร์ ทำให้กลายเป็นเครื่องบินโดยสารทันสมัยที่สุดรุ่นหนึ่ง

เครื่องบินโดยสารไอพ่นรุ่นแอร์บัส เอ-319

เครื่องบินรุ่นนี้มีความจุเชื้อเพลิงขนาดเดียวกับรุ่น เอ-320 แต่มีความแตกต่างตรงที่แอร์บัสรุ่นนี้ให้บริการใน 2 ระดับชั้นคือ ชั้นธุรกิจและชั้นประหยัด ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติการ ทำให้สามารถบินได้ไกลถึง 6800 กิโลเมตรหรือมากกว่าสำหรับเที่ยวบินยาวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก

เครื่องบินโดยสารรุ่นเอทีอาร์ 72-500

เป็นการร่วมมือกันของฝรั่งเศสและอิตาลี เพื่อผลิตเครื่องบินโดยสารที่ได้รับมาตรฐานด้านความปลอดภัยขนาด 70 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์แบบเทอร์โบ พร็อพ ซึ่งมีที่นั่งกว้างและพื้นที่วางสัมภาระมากเป็นพิเศษ เครื่องบินรุ่นนี้เหมาะแก่การปฏิบัติการระยะสั้นและได้รับความนิยมมากในหลายสายการบินมากกว่า 65 ประเทศทั่วโลก

เครื่องบินโดยสารรุ่นเอทีอาร์ 72-600

เครื่องบินเอทีอาร์ รุ่นใหม่นี้ ประกอบไปด้วย ห้องนักบินที่มีความทันสมัย มีการแสดงผลเป็นระบบดิจิตัลทั้งหมด พร้อมกับที่นั่งที่กว้างขวางสะดวกสบาย และช่องใส่ของเหนือศีรษะที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เครื่องบิน ATR72-600 ได้รับความน่าเชื่อถืออย่างมาก ด้วยมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเป็นเครื่องบินใบพัด (turboprop) ที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในตลาดอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

สายการบินสยามแอร์

สยามแอร์, เป็นสายการบินจากประเทศไทย. ให้บริการจากท่าอากาศยานดอนเมืองกรุงเทพมหานคร เริ่มเที่ยวบินปฐมฤกษ์สู่ฮ่องกงเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2557.
เริ่มต้นสายการบินเริ่มบริการด้วยฝูงบินโบอิง 737-300 จำนวน 2 ลำ ในปี พ.ศ.  2557, และเพิ่มจำนวนฝูงบินด้วย โบอิง 737-800 อีกจำนวน 2 ลำในปี พ.ศ. 2558.[1] สยามแอร์เริ่มเที่ยวบินจากดอนเมืองสู่ฮองกงในปี พ.ศ. 2557. และขยายไปสู่เมือง  เจิ้งโจว และ กว่างโจวในช่วงต้นปี พ.ศ. 2558 และในช่วงปลายปี พ.ศ. 2558 ทางสายการบินประกาศว่าเตรียมเปิดให้บริการสู่ มาเก๊า และ สิงค์โปร์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สายการบินสยามแอร์


วิกิพีเดีย เป็นโครงการสารานุกรมเนื้อหาเสรีหลายภาษาบนเว็บ โดยมีรูปแบบแก้ไขได้อย่างเปิดเผย คำว่า "วิกิพีเดีย" เป็นคำผสมระหว่าง วิกิ(เทคโนโลยีสร้างเว็บไซต์ที่อาศัยความร่วมมือ wiki เป็นคำภาษาฮาวาย หมายถึง "เร็ว") กับ เอนไซโคลพีเดีย (สารานุกรม) บทความวิกิพีเดียมีลิงก์นำผู้ใช้ไปยังหน้าที่เกี่ยวข้องกันที่มีข้อมูลเพิ่มเติม
วิกิพีเดียเขียนขึ้นด้วยความร่วมมือของกลุ่มอาสาสมัครนิรนามบนอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก ซึ่งไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ จากการเขียน ผู้ใดที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ สามารถเขียนและแก้ไขบทความวิกิพีเดียได้ทั้งสิ้น ยกเว้นบางกรณีที่จำกัดการแก้ไขเพื่อป้องกันการรบกวนหรือก่อกวน ผู้เขียนไม่จำเป็นต้องเผยชื่อจริงในวิกิพีเดีย อาจใช้นามแฝง หรือเลือกเปิดเผยตัวตนแท้จริงก็ได้
หลักพื้นฐานที่วิกิพีเดียดำเนินการอยู่ เรียกว่า ห้าเสาหลัก ประชาคมวิกิพีเดียได้พัฒนานโยบายและแนวปฏิบัติเพื่อปรับปรุงสารานุกรมต่อไป ทว่าไม่มีข้อกำหนดอย่างเป็นทางการว่า คุณจะต้องทำความคุ้นชินกับหลักดังกล่าวก่อนเขียนแต่อย่างใด
นับแต่การก่อตั้งในปี 2544 วิกิพีเดียได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทั่งกลายเป็นเว็บไซต์อ้างอิงใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีผู้เข้าชม 374 ล้านคนต่อเดือน จากสถิติเมื่อเดือนกันยายน 2558[1] และมีผู้ที่ยังร่วมเขียนอย่างต่อเนื่องอยู่กว่า 70,000 คน กำลังเขียนบทความกว่า 35,000,000 บทความ ในวิกิพีเดีย 288 ภาษา ปัจจุบัน วิกิพีเดียภาษาไทยมี 114,407 บทความ ทุกวัน ผู้เข้าชมจำนวนมากได้มีส่วนแก้ไขและสร้างบทความใหม่เพื่อขยายคลังความรู้บนสารานุกรมวิกิพีเดีย (ดูที่ วิกิพีเดีย:สถิติ)
บุคคลทุกวัย วัฒนธรรมและภูมิหลังสามารถเพิ่มหรือแก้ไขข้อความในบทความ แหล่งอ้างอิง ภาพและสื่ออื่นบนวิกิพีเดียได้ สิ่งที่ร่วมแก้ไขนั้นสำคัญกว่าความรู้ความชำนาญหรือคุณวุฒิของผู้ร่วมแก้ไข แต่ไม่ใช่ว่าที่แก้ไขมานั้นจะถูกเก็บไว้ทั้งหมด เพราะจะมีการคัดกรองให้เหลือเฉพาะส่วนที่เป็นไปตามนโยบายวิกิพีเดีย รวมไปถึงการพิสูจน์ยืนยันได้จากแหล่งตีพิมพ์ที่น่าเชื่อถือ และไม่รวมความคิดเห็น ความเชื่อ ตลอดจนงานวิจัยที่ไม่ได้รับการทบทวนปราศจากข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์และเนื้อหาที่เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ร่วมแก้ไขไม่สามารถทำลายวิกิพีเดียได้เพราะซอฟต์แวร์ช่วยให้การย้อนการแก้ไขที่ผิดพลาดทำได้อย่างง่ายดาย และผู้ใช้มากประสบการณ์หลายคนกำลังเฝ้าดูเพื่อช่วยประกันว่าการแก้ไขนั้นมีพัฒนาการเพิ่มขึ้น เริ่มต้นง่าย ๆ เพียงคลิกลิงก์ แก้ไข ที่อยู่ด้านบนของทุกหน้าที่แก้ไขได้!
วิกิพีเดียเป็นความร่วมมือสดใหม่ ต่างจากแหล่งอ้างอิงที่เป็นเอกสารอยู่หลายประการสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิกิพีเดียมีการสร้างและอัปเดตอย่างต่อเนื่อง โดยบทความเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ปรากฏขึ้นภายในไม่กี่นาที ไม่ใช่หลายเดือนหรือหลายปี บทความเก่ามีแนวโน้มเติบโตให้ครอบคลุมและสมดุลยิ่งขึ้น บทความใหม่กว่าอาจมีข้อมูลที่ผิด เนื้อหาที่ไม่เป็นสารานุกรมหรือการก่อกวน ความตระหนักถึงข้อนี้ช่วยให้กรองเอาข้อมูลที่ถูกต้องและหลีกเลี่ยงข้อมูลผิด ๆ ที่อาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีสอดแทรกเข้าไปได้ (ดูที่ การใช้วิกิพีเดียประกอบการวิจัย)

สายการบินนกเเอร์


นกแอร์ (Nok Air) คือสายการบิน Low Cost หรือายการบินราคาประหยัดของประเทศไทย ซึ่งทำการบินภายในประเทศไทยในราคาย่อมเยา ซึ่งอยู่ภายใต้ชื่อทางการค้า "นกแอร์" นั่นเอง


สายการบิน “นกแอร์” ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 โดยอยู่ภายใต้ชื่อบริษัท สกายเอเชีย จำกัด (Sky Asia Ltd.) ดำเนินธุรกิจต่อมา 2 ปี เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2549 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น " สายการบินนกแอร์ จำกัด (Nok Airlines Co.,Ltd.)"


"นกแอร์" เป็นชื่อที่ง่าย และสั้นต่อการจดจำ ทำให้นกแอร์เป็นสายการบินราคาประหยัดที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี และเนื่องด้วย นกแอร์ ชื่อที่สื่อถึงความเป็นมิตร และเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพแห่งการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นชื่อที่ย้ำถึงความเป็นไทยได้อย่างแท้จริง ซึ่งก็เปรียบเสมือนนก ที่มีอิสระในการบินสามารถบินไปไหนต่อไหนได้อย่างมีอิสระเสรี สื่อความถึงสายการบินนกแอรนั่น ก็สามารถพาผู้โดยสารสายการบินเดินทางไปทุกทีได้อย่างอิสระ


สำหรับตราสัญญาลักษณ์ สายการนกแอร์เลือกที่จะใช้สีเหลืองเป็นสีประจำสายการบินนกแอร์ โดยสีเหลืองนั้น ได้แสดงลักษณะและมีความหมายที่หมายถึงความอบอุ่นและความเป็นมิตร


นกแอร์ทำตลาดในลักษณะของสายการบิน Low Cost หรือ สายการบินราคาประหยัด ซึ่งถือว่าในประเทศไทย เพิ่งถือกำเนิดสายการบินประเภทมาได้ไม่นานนัก ทำให้การเดินทางด้วยเครื่องบินภายในประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ใครๆก็สามารถใช้บริการสายการบินได้ เพราะราคาค่าใช้จ่ายที่ลดลงกว่าสายการบินประเภท High Cost นั้นเอง


ส่วนในเรื่องของเครื่องบินนั่น เครื่องบินของนกแอร์เป็นเครื่องที่แบ่งเช่ามาจากฝูงบินปัจจุบันของบริษัทการบินไทย โดยมีมาตรฐานการดูแลรักษาในมาตรฐานเดียวกันกับของการบินไทยทุกประการ ผู้โดยสารจึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยของการเดินทางด้วยสายการบินนกแอร์


และด้วยความสะดวกสบายของการจองตั๋วหรือสำรองเที่ยวบิน ผู้โดยสารสามารถจองตั๋วได้หลายช่องทาง ทั้งเคานเตอร์นกแอร์ในท่าอากาศยานปลายทางต่างๆหรือเคาน์เตอร์ที่เปิดให้บริการต่างห้างสรรพสินค้าและงานอีเว้นท์ หรือจะจองทางโทรศัพท์หมายเลข 1318 รวมทั้งการจองตั๋วผ่านทางอินเทอร์เน็ต


สายการบินนกแอร์ ก่อตั้งขึ้นโดยมีบริษัทชั้นนำระดับสากลร่วมทุนดังนี้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (ถือหุ้น 49%) บริษัท นกแอร์แมนเนจเม้นท์ฮ่องกง จำกัด (ถือหุ้น 25%) บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด (สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์) (ถือหุ้น 6%) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (ถือหุ้น 5%) บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด (ถือหุ้น 5%) ผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ (ถือหุ้น 10%)




ปัจจุบันสายการบินนกแอร์มีทีมผู้บริหารหลักอันมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ดังนี้ นายพาที สารสิน (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร), นายปิยะ ยอดมณี (รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส), นายวิทัย รัตนากร (รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชีและการเงิน) และ กัปตันสรรใจ บุญมา (รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการบิน)

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การบินนกแอร์
สายการบินแอร์เอเชีย เป็นสายการบินต้นทุนต่ำที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศมาเลเซีย และเป็นสายการบินที่ให้บริการด้วยค่าโดยสารที่ถูกที่สุดในเอเชีย[4]กลุ่มแอร์เอเชีย ดำเนินการให้บริการเที่ยวบินทั่งในประเทศ และ ระหว่างประเทศ โดยมีจุดหมายปลายทางมากกว่า 400 เมืองใน 25 ประเทศ และมีท่าอากาศยานหลักคือ ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ โดยให้บริการที่อาคารผู้โดยสาร อาคาร KLIA2 และยังมี สายการบินไทยแอร์เอเชีย, สายการบินอินโดนีเซียแอร์เอเชีย เข้ามาใช้บริการร่วมด้วย แอร์เอเชียมาเลเซีย มีสำนักงานจดทะเบียนตั้งอยู่ที่เปอตาลิงจายารัฐเซอลาโงร์ ประเทศมาเลเซีย และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์.[5][6] แอร์เอเชียมีแผนจะเปิดสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคอาเซียนในจาการ์ตา ในปี พ.ศ. 2554[7]ขณะเดียวกันยังคงรักษาสำนักงานใหญ่ในกัวลาลัมเปอร์เอาไว้ด้วย[8]
   ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การบินแอร์เอเชีย
                         

ประวัติ[แก้]

แอร์เอเชียก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2536 และเริ่มดำเนินการเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ก่อตั้งขึ้นโดยหน่วยงานรัฐวิสหกิจ DRB-Hicom ของรัฐบาลมาเลเซีย หลังจากดำเนินงานประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก และมีหนี้สินจำนวนมาก และเมื่อ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2544 กลุ่มบริษัท ทูนแอร์ โดยผู้บริหารคือ นายโทนี เฟอร์นานเดส ได้เข้าซื้อหนี้ของสายการบินแอร์เอเชีย และเข้ามาบริหารงาน โดยเริ่มเปิดเส้นทางบินใหม่จาก ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ และตีคู่แข่งอย่าง มาเลเซียแอร์ไลน์ ด้วยค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 1 ริงกิตมาเลเซีย หรือประมาณ 0.27 ดอลลาร์สหรัฐ
                                   รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ท่าอากาศยานรอง[แก้]

ในปี พ.ศ. 2546 แอร์เอเชียได้เปิดตัวท่าอากาศยานรองแห่งที่สองที่ ท่าอากาศยานนานาชาติเซไน ใน รัฐยะโฮร์ บาห์รู ซึ่งใกล้กับประเทศสิงคโปร์และเปิดตัวเที่ยวบินระหว่างประเทศเป็นครั้งแรกด้วย โดยบินตรงสู่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย และเริ่มมีการจัดตั้งสายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเส้นทางบินสู่ประเทศสิงคโปร์, มาเก๊า, เซียะเหมิน ประเทศจีน, กรุงมะนิลา, ประเทศเวียดนาม ประเทศกัมพูชา และ ประเทศพม่า ในปัจจุบันแอร์เอเชียมาเลเซีย มีท่าอากาศยานรองอีกสองแห่งในมาเลเซียตะวันออก ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติกูชิง ตั้งอยู่ในเมืองกูชิง รัฐซาราวะก์ และ ท่าอากาศยานนานาชาติโกตากีนาบาลู ตั้งอยู่ในเมืองโกตากีนาบาลู รัฐซาบะฮ์
                         

การบินไทย

ประวัติบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กำเนิดจากที่รัฐบาลไทยให้ บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด กับสายการบินสแกนดิเนเวียน ทำสัญญาร่วมทุนระหว่างกัน เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2502 จากนั้นในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2503 บริษัท การบินไทย จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นด้วยทุนประเดิม 2 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจสายการบินระหว่างประเทศ โดยมีเที่ยวบินปฐมฤกษ์ไปยังฮ่องกง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ปีเดียวกัน
ต่อมาในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2520 เอสเอเอสคืนหุ้นให้เดินอากาศไทย หลังจากครบระยะเวลาตามสัญญาร่วมทุน แล้วโอนให้แก่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ตามมติคณะรัฐมนตรี และในที่สุดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2531 เดินอากาศไทย ซึ่งดำเนินธุรกิจสายการบินภายในประเทศ ก็รวมกิจการเข้ากับการบินไทย เพื่อให้สายการบินแห่งชาติเป็นหนึ่งเดียว ตามมติคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ จากนั้นในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 การบินไทยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี และจดทะเบียนแปลงสภาพเป็นบริษัท   
                               1]ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การบินไทย

ทศวรรษ 2503-2512[แก้]

Coronado CV-990
  • พ.ศ. 2503 - กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ รับจดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท การบินไทย จำกัด ต่อมาเปิดเที่ยวบินแรกจากท่าอากาศยานกรุงเทพ ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง ด้วยเครื่องบินใบพัด ดักลาส ดีซี 6 บี ขนาด 60 ที่นั่ง ซึ่งมีผู้โดยสารเต็มลำ จากนั้นจึงเริ่มเส้นทางบินอีก 11 จุดในทวีปเอเชีย ได้แก่ย่างกุ้ง กัลกัตตา ไทเป โตเกียว กัวลาลัมเปอร์ สิงคโปร์ พนมเปญ โฮจิมินห์ มะนิลา จาการ์ตา โดยมีฝูงบินเป็นเครื่องบินรุ่นเดียวกันอีกสองลำ ในปีแรกของกิจการ
  • พ.ศ. 2504 - มีผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 83,000 คน พร้อมทั้งสร้างเอกลักษณ์ของบริการเอื้องหลวง (Royal Orchid Service) คือการบริการบนเครื่องโดยพนักงานต้อนรับ จะผสมผสานด้วยความเป็นไทย จนกระทั่งสัญลักษณ์ตุ๊กตารำไทย รวมถึงชุดไทยเรือนต้นของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมไทย ซึ่งทั้งสองสิ่งออกแบบโดย หม่อมเจ้าไกรสิงห์ วุฒิไชย เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
  • พ.ศ. 2505 - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ของเครื่องบินไอพ่น คอนแวร์ 990 โคโรนาโด ขนาด 99 ที่นั่ง อันมีสมรรถนะรวดเร็วที่สุดในขณะนั้น ซึ่งจัดซื้อเข้าประจำการเป็นลำแรก นอกจากนั้น การบินไทยยังเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 40 ล้านบาท
  • พ.ศ. 2506 - เปิดทำการบินจากกรุงเทพฯ ไปยังฮ่องกง-กัลกัตตา-สิงคโปร์ โดยร่วมมือกับสายการบินในทวีปเอเชียหลายแห่ง เพื่อเพิ่มเที่ยวบินให้บริการผู้โดยสารมากขึ้น และสะดวกสบายยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนั้น สำนักงานใหญ่ของการบินไทย ตั้งอยู่ในอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น ริมถนนเจริญกรุง มีพนักงานทั้งหมด 600 คน
  • พ.ศ. 2507 - จัดซื้อเครื่องบินไอพ่น คาราเวล เอสอี 210 ผลิตในสาธารณรัฐฝรั่งเศส ขนาด 72 ที่นั่ง ซึ่งมีความทันสมัยในเวลานั้น โดยมีผู้โดยสารใช้บริการในปีนี้ประมาณ 100,000 คน พร้อมทั้งเปิดเที่ยวบินใหม่ไปยังโอซากาของญี่ปุ่นด้วย ในวันที่ 7 กันยายน
  • พ.ศ. 2508 - ผลการดำเนินงานได้รับกำไรเป็นเงิน 3.9 ล้านบาทเป็นปีแรก และต่อมาก็มีกำไรอย่างต่อเนื่องทุกปี นับแต่บัดนั้นจนถึงปัจจุบัน เปิดเส้นทางบินใหม่ไป ธากา ในวันที่ 1 พฤศจิกายน
  • พ.ศ. 2509 - เริ่มเปลี่ยนมาใช้เครื่องบินไอพ่นทั้งฝูงบิน ประกอบด้วยเครื่องบินคาราแวล เอสอี 210 จำนวน 5 ลำ ซึ่งนับเป็นสายการบินแรกในทวีปเอเชีย โดยเริ่มรับนักบินชาวไทยเข้าปฏิบัติการบินมากขึ้น จากเดิมที่มีเพียงนักบินชาวต่างชาติ ซึ่งเอสเอเอสส่งมาช่วยปฏิบัติการบินในระยะแรกเท่านั้น เปิดเส้นทางบินใหม่ไป ปีนัง ในวันที่ 4 ตุลาคม
  • พ.ศ. 2510 - เป็นปีแรกที่ให้บริการผู้โดยสารถึงหลัก 1 ล้านคน และเป็นสายการบินนานาชาติแห่งแรก ที่เปิดเส้นทางบินไปยัง ท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย ในวันที่ 24 ธันวาคม เป็นผลให้ธุรกิจท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้พัฒนาขึ้น
  • พ.ศ. 2511 - เปิดเส้นทางบินไปยังกรุงกาฐมาณฑุของเนปาลเป็นครั้งแรก ในวันที่ 4 ธันวาคม และเพิ่มเที่ยวบินสู่ ท่าอากาศยานนานาชาติคิมโพ โซลของเกาหลีใต้ ในวันที่ 17 มีนาคม และกรุงนิวเดลีของอินเดีย ในวันที่ 2 กรกฎาคม
[2]
  • พ.ศ. 2512 - เปลี่ยนไปใช้ฝูงบินไอพ่นทั้งหมดในการให้บริการ โดยมีเส้นทางการบินครอบคลุมเมืองสำคัญในเอเชีย เป็นจำนวนมากกว่าสายการบินอื่น ทั้งเริ่มเผยแพร่วัฒนธรรม และรณรงค์การท่องเที่ยวประเทศไทย แก่ชาวต่างชาติทั่วโลก

ทศวรรษ 2513-2522[แก้]

B747-200 ประจำการลำแรก 2 พฤศจิกายน ปี 2522
  • พ.ศ. 2513 - ในโอกาสที่ร่วมมือกันก่อตั้งการบินไทยมาครบรอบ 10 ปี บดท.กับเอสเอเอส ลงนามต่อสัญญาร่วมทุนระหว่างกันออกไปอีก 7 ปี และยังจัดซื้อเครื่องบิน ดีซี 9-41 และ ดีซี 8-33 มาให้บริการเพิ่ม เนื่องจากมีสมรรถภาพที่ดี และยังประหยัดพลังงานกว่ารุ่นที่ใช้อยู่ ทั้งนี้ยังเริ่มจัดรายการท่องเที่ยวขึ้นเป็นพิเศษ ภายใต้ชื่อ รอยัลออร์คิดฮอลิเดย์ (Royal Orchid Holiday) โดยลูกค้าสามารถเลือกวันเดินทางและรายการท่องเที่ยวตามความต้องการได้ในราคาพิเศษ รวมทั้งการเดินทางเป็นหมู่คณะด้วย
  • พ.ศ. 2514 - เปิดเส้นทางบินข้ามทวีปเป็นครั้งแรกจากกรุงเทพฯ แวะลงที่ สิงคโปร์ สิ้นสุดที่ ซิดนีย์ ในวันที่ 1 เมษายน และเปิดให้บริการอาคารคลังสินค้าหลังใหม่ ซึ่งสามารถขนส่งสินค้าเข้าและออกเป็นจำนวน 2,000 ตันในปีแรก
  • พ.ศ. 2515 - วันที่ 3 มิถุนายน ทำการบินข้ามไปยังทวีปยุโรปเป็นครั้งแรก ไปยังกรุงโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก โดยเปิดศูนย์ฝึกอบรมนักบินแห่งใหม่ พร้อมติดตั้งเครื่องฝึกบินจำลองแบบ ดีซี 8-33 ซึ่งมีระบบควบคุมอัตโนมัติ เป็นเครื่องแรกของประเทศ นอกจากนี้ยังเปิดภัตตาคารการบินไทย ภายในท่าอากาศยานกรุงเทพ เพื่อให้บริการอาหารและเครื่องดื่มแก่ผู้เข้าใช้บริการ
  • พ.ศ. 2516 - เปิดจุดบินใหม่กรุงเทพไป แฟรงก์เฟิร์ตของเยอรมนี ในวันที่ 2 มิถุนายน และลอนดอนของอังกฤษ ในวันที่ 6 มิถุนายน ทั้งเปิดให้บริการ ร้านค้าปลอดภาษี (Duty-Free Shop) ภายในท่าอากาศยานกรุงเทพ เพื่อส่งเสริมศักยภาพให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคเอเชีย
  • พ.ศ. 2517 - วันที่ 16 เมษายน เปิดเส้นทางบินไปยังกรุงโรมของอิตาลี ทั้งเริ่มใช้การสำรองที่นั่งด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วมากขึ้นแก่ผู้โดยสาร โดยการบินไทยนับเป็นหน่วยงานขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยสมัยนั้นแห่งหนึ่ง เนื่องจากมีพนักงานทั้งในและต่างประเทศ รวมกว่า 3,000 คน
  • พ.ศ. 2518 - เปลี่ยนแปลงภาพตราสัญลักษณ์ใหม่ จากตุ๊กตารำไทยให้เป็นรูปแบบสากลมากยิ่งขึ้น โดยว่าจ้างให้วอลเตอร์ แลนเดอร์ แอนด์ แอสโซซิเอทด์ บริษัทโฆษณาระดับโลกเป็นผู้ออกแบบ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึง ความงามทางธรรมชาติและอารยธรรมไทย โดยใช้สีม่วง สีชมพู และสีทองเป็นสื่อ ทั้งยังเปิดเส้นทางบินไปยัง กรุงเทพ ไป กรุงอัมสเตอร์ดัมของเนเธอร์แลนด์ ในวันที่ 3 เมษายน กรุงเทพไป กรุงเอเธนส์ของกรีซเฮเลนิก ในวันที่ 3 พฤศจิกายน และกรุงเทพไป กรุงปารีสของฝรั่งเศส ในวันที่ 4 พฤศจิกายน
  • พ.ศ. 2520 - หลังจากครบสัญญาร่วมทุนเป็นระยะเวลา 17 ปี กระทรวงการคลังก็ซื้อหุ้นคืนจากเอสเอเอส ส่งผลให้การบินไทยตกเป็นของประเทศไทยอย่างสมบูรณ์ โดยมีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ เปิดเส้นทางบินใหม่ไป คูเวตซิตี ประเทศคูเวต ในวันที่ 3 พฤศจิกายน การบินไทยมีเครื่องบินเป็นของบริษัทเองลำแรกได้แก่ HS-TMC เครื่องบินแบบ DC-10-30 ประจำการลำแรก 3 มีนาคม
  • พ.ศ. 2521 - จัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส เอ 300-บี 4 ขนาด 223 ที่นั่ง เครื่องบินมาในปี 2522 เพิ่มจากแบบ ดีซี 10-30 เข้าประจำการฝูงบิน เพื่อให้บริการในเที่ยวบินระยะไกล ทั้งสามารถขนส่งผู้โดยสารและสินค้าได้มากขึ้น เปิดเส้นทางบินใหม่ไป มานามา ประเทศบาห์เรน ในวันที่ 1 พฤศจิกายน
[3]
  • พ.ศ. 2522 - จัดซื้อที่ดิน 26 ไร่ ริมถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ ซึ่งเป็นการรวมหน่วยงานภายในของการบินไทย ให้อยู่ในบริเวณเดียวกันเป็นครั้งแรก พร้อมทั้งรับเครื่องบินแบบโบอิง 747-200 ขนาด 371 ที่นั่ง จำนวน 2 ลำในวันที่ 2 พฤศจิกายน และวันที่ 15 ธันวาคม[4]ทะเบียน HS-TGA HS-TGB เพื่อให้สามารถบินตรงถึงจุดบินต่างๆ ในทวีปยุโรปโดยไม่ต้องพักเครื่อง และยังจัดซื้อเครื่องบินแบบแอร์บัส เอ 300 เพื่อใช้บินภายในทวีปเอเชีย จำนวน 4 ลำด้วย เปิดเส้นทางบินไป ดาห์ราน ประเทศซาอุดีอาระเบีย ในวันที่ 4 เมษายน

ทศวรรษ 2523-2532[แก้]

B747-300 HS-TGD ประจำ 16 ธันวาคม 2530
บีเออี 146-300 ของการบินไทยประจำการลำแรก 23 มิถุนายน 2532 ในรูปเป็นลำที่สอง HS-TBM
  • พ.ศ. 2523 - เปิดเส้นทางบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกกรุงเทพแวะโตเกียวแวะนครซีแอตเทิลปลายทางนครลอสแอนเจลิส ในวันที่ 30 มีนาคม ด้วยฝูงบินโบอิง 747-200 หรือจัมโบ้เจ็ท นับเป็นจุดบินแรกในสหรัฐอเมริกาและทวีปอเมริกาเหนือ ก่อนเลิกบินเส้นทางนี้ในวันที่ 31 ธันวาคม และยังเพิ่มเส้นทางบินเมลเบิร์น ในวันที่ 4 เมษายน นูเมีย ประเทศนิวแคลิโดเนีย ในวันที่ 2 พฤศจิกายน รับเครื่องบินแบบโบอิง 747-200 ขนาด 371 ที่นั่ง จำนวน 2 ลำ[5]ทะเบียน HS-TGC HS-TGF
  • พ.ศ. 2524 - เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,100 ล้านบาท เปิดเส้นทางบิน กรุงเทพฯ-กว่างโจวของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ 2 เมษายน เปิดเส้นทางบินกรุงเทพแวะคูเวตปลายทางแฟรงเฟิร์ต เที่ยวบิน TG920 และเปิดเส้นทางบินกรุงเทพแวะเดลีปลายทางปารีส เที่ยวบิน TG932 เปิดเส้นทางบิน กรุงเทพแวะโตเกียวแวะซีแอตเทิลปลายทางแดลลัส ในวันที่ 1 มกราคม ในเที่ยวบินที่ TG740 เปิดเส้นทางบิน
  • พ.ศ. 2525 - การบินไทยผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากการลดค่าเงินบาท โดยมีผลกำไรก่อนหักภาษีเป็นมูลค่า 26.3 ล้านบาท เป็นผลมาจากการปรับฝูงบิน รวมถึงความร่วมมือกับสายการบินอื่น ในเส้นทางบินที่สำคัญ การบินไทยเปิดเส้นทาง กรุงเทพไปเพิร์ทในวันที่ 31 มีนาคม และกรุงเทพไปบริสเบนในวันที่ 2 เมษายน
  • พ.ศ. 2526 - เริ่มการให้บริการในชั้นธุรกิจ (Royal Executive Class) โดยแบ่งห้องโดยสารออกเป็นสัดส่วน ปรับปรุงเบาะนั่งให้ตัวใหญ่ขึ้น ขยายเท้าแขนให้มากขึ้น รวมทั้งเปิดบริการห้องรับรองพิเศษก่อนขึ้นเครื่อง นอกจากนั้นยังร่วมลงทุนกับ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (BAFS), โรงแรมรอยัลออร์คิด และโรงแรมแอร์พอร์ต เปิดเส้นทางบิน กรุงเทพฯ-ปักกิ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ 29 มีนาคม
  • พ.ศ. 2527 - เริ่มเส้นทางบินผ่านในประเทศอีกสองเส้นทางคือ กรุงเทพฯ-หาดใหญ่-สิงคโปร์ กับ กรุงเทพฯ-ภูเก็ต-สิงคโปร์ โดยก่อนหน้านี้มีเส้นทางแรกคือ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่-ฮ่องกง มาก่อนแล้ว เปิดเส้นทางบินกรุงเทพไปมัสกัต ในวันที่ 7 มิถุนายน 2527 และ กรุงเทพ-ซูริก ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2527
  • พ.ศ. 2528 - เปิดศูนย์ซ่อมอากาศยานแห่งใหม่ ในบริเวณท่าอากาศยานกรุงเทพ เพื่อเพิ่มศักยภาพการซ่อมบำรุง เครื่องบินลำตัวกว้างด้วยตนเองภายในประเทศ แทนการส่งไปซ่อมต่างประเทศ ซึ่งในช่วงแรกเปิดทำการ 2 โรงซ่อม ซึ่งสามารถรองรับเครื่องบินโบอิง 747-200 พร้อมกัน และสร้างโรงซ่อมที่ 3 ในเวลาต่อมา ซึ่งสายการบินสแกนดิเนเวียน เข้ามาช่วยเหลือการจัดสร้าง ซึ่งสามารถซ่อมโบอิง 747 2 ลำ และเครื่องบินลำตัวแคบ 1 ลำ พร้อมกันในคราวเดียว และเปิดอาคารคลังสินค้าขนาดใหญ่ ติดอันดับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยพื้นที่ 43,000 ตารางเมตร เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณสินค้า ทั้งของการบินไทย กับอีก 28 สายการบิน ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เปิดเส้นทางบินไปเวียงจันทน์ ในวันที่ 4 เมษายน ไปบันดาร์เซอรีเบอกาวัน ในวันที่ 5 เมษายน กรุงเทพแวะซูริกปลายทางไคโร ในวันที่ 29 ตุลาคม เที่ยวบินที่ TG960 และไปริยาด ในวันที่ 30 ตุลาคม เที่ยวบินที่ TG509
  • พ.ศ. 2529 - เพิ่มเส้นทางบินไปยังกรุงสตอกโฮล์มของสวีเดน ในวันที่ 30 ตุลาคม และดัสเซลดอร์ฟ ในวันที่ 30 ตุลาคม รวมถึงเปิดให้บริการภัตตาคารการบินไทยสาขาอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ ภายในท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ นับเป็นสาขาแรกนอกท่าอากาศยานกรุงเทพ
  • พ.ศ. 2530 - เพิ่มเส้นทางบินไปยังกรุงมาดริดของสเปน ในวันที่ 5 ธันวาคม และเมืองออกแลนด์ของนิวซีแลนด์ ในวันที่ 5 ธันวาคม พร้อมทั้งย้ายการให้บริการแก่ผู้โดยสารทั้งหมด ไปยังอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ และภายในประเทศหลังใหม่ทั้งสอง นับเป็นร้อยละ 80 ของการให้บริการทั้งหมดของการบินไทย นอกจากนั้น ยังร่วมรณรงค์ปีส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยด้วย
รับเครื่องบินแบบโบอิง 747-300 จำนวน 2 ลำ[6]ทะเบียน HS-TGD รับวันที่ 16 ธันวาคม HS-TGE รับวันที่ 3 ธันวาคม เป็นเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดของการบินไทย
  • พ.ศ. 2531 - คณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ มีมติให้รวมกิจการ บดท.เข้ากับการบินไทย โดยรับมอบเครื่องบินจาก บดท.11 ลำ รวมมีฝูงบินจำนวน 41 ลำ ปฏิบัติการบินระหว่างประเทศ 48 จุดบินใน 35 ประเทศ กับภายในประเทศอีก 23 จุดบิน เปิดเส้นทางบิน ฮานอย ประเทศเวียดนาม ในวันที่ 4 เมษายน เปิดเส้นทางบิน แคร์นส์ ประเทศออสเตรเลีย ในวันที่ 19 พฤษภาคม เที่ยวบินที่ TG487 เปิดเส้นทางบิน เวียนนาประเทศออสเตรีย ในวันที่ 30 พฤษภาคม เปิดเส้นทางบิน โตรอนโต ประเทศแคนาดา ทวีปอเมริกาเหนือ ในวันที่ 16 กรกฎาคม เปิดเส้นทางบิน นาโกยา ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 30 ตุลาคม เปิดเส้นทางบิน ไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ เที่ยวบินที่ TG493 ในวันที่ 7 ธันวาคม ;[7]
    • การบินไทยเปิดเส้นทางสู่อเมริกาเปิดเส้นทางบินกรุงเทพแวะไทเปและซีแอตเทิลปลายทางโตรอนโต ในเที่ยวบิน TG762 ในวันที่ 27 ตุลาคม สัปดาห์ละ 3 เทียวบิน เปิดเส้นทางบินกรุงเทพแวะไทเปและซีแอตเทิลปลายทางแดลลัส สัปดาห์ละ 1 เทียวบิน ในเที่ยวบิน TG742 ในวันที่ 30 ตุลาคม เปิดเส้นทางบินกรุงเทพแวะนะริตะและซีแอตเทิลปลายทางโตรอนโตสัปดาห์ละ 1 เทียวบิน ในวันที่ 30 ตุลาคม ในเที่ยวบิน TG760[8]
  • พ.ศ. 2532 - สำนักงานใหญ่ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งโครงการ และเริ่มจัดรายการบัตรโดยสารราคาพิเศษชื่อ Discover Thailand เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศไทย เนื่องในปีศิลปหัตถกรรมไทย รวมถึงพัฒนาทัวร์เอื้องหลวงให้หลากหลายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเปิดครัวการบินไทยแห่งใหม่ โดยมีกำลังการผลิตอาหารมากกว่า 20,000 สำรับต่อวัน ซึ่งมีความทันสมัยและขนาดใหญ่ติดอันดับในเอเชีย รับเครื่องบินแบบ BAe146-300 2 ลำทะเบียน HS-TBL และ HS-TBM

ทศวรรษ 2533-2542[แก้]

B747-400 HS-TGA ประจำการ 2พฤศจิกายน ปี 2533
McDonnell Douglas MD-11 HS-TMD ประจำการ 27 มิถุนายน ปี 2534
  • พ.ศ. 2533 - ครบรอบ 30 ปีการบินไทย ผลประกอบการก่อนหักภาษี ได้รับกำไร 6,753.6 ล้านบาท ถือเป็นลำดับรองจากจุดสูงสุดของผลกำไรตลอดมา และให้บริการผู้โดยสารสูงสุดตลอดมาที่ 8.3 ล้านคน ทั้งนี้ยังจัดซื้อเครื่องบินโบอิง 747-400 ลำแรก ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในขณะนั้น การบินไทยเปิดเส้นทางบินไป เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ในวันที่ 27 มีนาคม ไป มิวนิก ประเทศเยอรมัน ในวันที่ 30 มีนาคม ไป เกาสฺยง ในวันที่ 29 ตุลาคม ไปเกาะลังกาวี ในวันที่ 16 พฤศจิกายน รับเครื่องบินแบบ B747-400 ลำแรก ในวันที่ 2พฤศจิกายน เป็นเครื่องที่ทันสมัยที่สุดของการบินไทยในปีนั้น
  • พ.ศ. 2534 - ร่วมเป็นสมาชิกระบบสำรองที่นั่งเบ็ดเสร็จ อะมาดิอุส (Amadeus) ซึ่งเชื่อมโยงกับอีก 98 สายการบิน และผู้แทนการท่องเที่ยวทั่วโลก 47,500 ราย ครอบคลุมทั่วโลกด้วยระบบอินเทอร์เน็ต เปิดเส้นทางบินใหม่จากกรุงเทพแวะโซลปลายทางลอสแอนเจลิส ในเที่ยวบิน TG770 ในวันที่ 1 กรกฏาคม[9] การบินไทยเปิดเส้นทางบินไป บรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ในวันที่ 4 ตุลาคม เปิดเส้นทางบินไป โกตากีนาบาลู ในวันที่ 30 ตุลาคม และเปิดเส้นทาง โตเกียวไปภูเก็ต ในเที่ยวบินที่ TG647
    • การบินไทยเริ่มกระบวนการแปรรูปบริษัท ด้วยการนำหุ้นเข้าจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยขณะนั้นคือ 100 ล้านหุ้น โดยมีผู้ลงทุนซื้อหุ้นจำนวน 256,000 คน และสามารถระดมทุนเป็นจำนวน 14,000 ล้านบาท รับเครื่องบินแบบ McDonnell Douglas MD-11 2 ลำ HS-TMD วันที่ 27 มิถุนายน HS-TME วันที่15 กรกฎาคม
  • พ.ศ. 2535 - การบินไทยเปิดเส้นทางบินไป คุนหมิง ในวันที่ 30 มีนาคม การบินไทยเปิดเส้นทางบินไป กวม ในวันที่ 31 มีนาคม การบินไทยเปิดเส้นทางบินไป บาร์เซโลนา ประเทศสเปน ในวันที่ 3 กรกฎาคม การบินไทยเปิดเส้นทางบินไป ฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 26 ตุลาคม[10]รับเครื่องบินแบบ McDonnell Douglas MD-11 2 ลำ HS-TMF วันที่ 2 กรกฎาคม HS-TMG วันที่ 31 กรกฎาคม การบินไทยซื้อเครื่อง HS-TVA แบบ Canadair Challenger-601-3A-ER สำหรับฝึกนักบินและเช่าเหมาลำ รับเมื่อ 25 พฤษภาคม
  • พ.ศ. 2536 - รับบริการผู้โดยสารจำนวนมากกว่า 10 ล้านคน และเปิดรับสมัครรอยัลออร์คิดพลัส รายการสะสมจำนวนไมล์บิน โดยมีผู้เข้าเป็นสมาชิกจำนวน 200,000 คนจาก 115 ประเทศภายในปีแรก การบินไทยเปิดเส้นทางบินไป เซี่ยงไฮ้ ในวันที่ 2 พฤศจิกายน การบินไทยเปิดเส้นทางบินไป ดูไบ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน
  • พ.ศ. 2537 - จดทะเบียนเป็น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมทั้งเพิ่มเส้นทางบินไปยัง ลาฮอร์ของปากีสถาน ในวันที่ 1 กรกฎาคม และ อิสตันบูล ในวันที่ 31 ตุลาคม
  • พ.ศ. 2538 - ดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานเชิงปฏิบัติการ เชิงบริการลูกค้า เชิงจัดการและเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาการบริหารธุรกิจจากต่างประเทศ และประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ของการบินไทย เพื่อสร้างสรรแนวทางและเป้าหมายร่วมกัน มีใจความว่า The First Choice Carrier. Smooth as Silk. First Time. Every Time.
  • พ.ศ. 2539 - สมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชมฝ่ายช่าง เนื่องในโอกาสเสด็จฯ เยือนประเทศไทย ทรงเดินเครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์ เทรน 800 จำนวน 2 ตัว ที่ติดตั้งภายในเครื่องบินโบอิง 777-200 ขนาด 358 ที่นั่ง ซึ่งสั่งซื้อเป็นลำแรกของโลก และเปิดให้บริการข้อมูลแก่สาธารณชน ผ่านอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ www.thaiairways.com และ www.thaiairways.co.th
การบินไทยเช่าเครื่องบินมาจากสายการบิน Atlas Air เพื่อมาบินขนส่งสินค้าเพียงอย่างเดียว เป็นเครื่องบิน B747-200SF ทะเบียน N522MC
การบินไทยเปิดเส้นทางบินไป กรุงเทพแวะเกาะบาหลีปลางทางสุราบายา ในวันที่ 30 มีนาคม เที่ยวบินที่ TG435
[12]

ทศวรรษ 2543-2552[แก้]

ตราสัญลักษณ์ของการบินไทย (2548-ปัจจุบัน)
A340-541 ประจำการลำแรก 6 เมษายน ปี 2548 ในรูปคือ HS-TLB เป็นลำที่สอง
A340-642 HS-TNA ประจำการ 29 มิถุนายน ปี 2548
A330-343X HS-TEN ประจำการ 1 เมษายน พ.ศ. 2552
เปิดเส้นทางบินใหม่ไปยัง มุมไบ ประเทศอินเดีย ในวันที่ 30 ตุลาคม
  • พ.ศ. 2545 - เปิดเส้นทางบินตรงจากกรุงเทพไปเฉิงตู ในวันที่ 2 มกราคม เซี่ยเหมิน ในวันที่ 29 ตุลาคม ปูซาน ในวันที่ 31 มีนาคม บาห์เรน ในวันที่30 พฤศจิกายน อาบูดาบี ในวันที่ 30 พฤศจิกายน จิตตะกอง ในวันที่ 11 ธันวาคม และกลับมาบินกรุงคูเวตซิตีของคูเวต ในวันที่ 31 มีนาคม การบินไทยเปิดเส้นทางบินกรุงเทพแวะเอเธนส์ไปเจนีวา ในวันที่ 29 ตุลาคม เที่ยวบิน TG946 อีกครั้งหนึ่งส่วนผลประกอบการมีกำไรสูงสุดนับแต่ก่อตั้ง และเป็นปีที่ 38 ติดต่อกัน
  • พ.ศ. 2546 - ให้บริการเลือกเที่ยวบิน สำรองที่นั่ง ออกบัตรโดยสาร เช็กอิน ฯลฯ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตด้วยตนเอง ภายใต้ชื่อรอยัล อี-เซอร์วิส และเริ่มการประมูลจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Auction) เพื่อความโปร่งใสถูกต้อง มีธรรมาภิบาล และยังลดค่าใช้จ่ายอีกด้วย การบินไทยเปิดเส้นทางบินกรุงเทพแวะซูริกไปเจนีวา ในวันที่ 31 มีนาคม เที่ยวบิน TG972[13]การบินไทยเปิดเส้นทางบินตรงจากกรุงเทพไปเชนไน ในวันที่ 26 ตุลาคม และ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน เปิดเส้นทางบินตรงจากกรุงเทพไปหลวงพระบาง การบินไทยเปิดเส้นทางเมลเบิร์นไปภูเก็ตในวันที่ 27 ตุลาคม ในเที่ยวบินที่ TG980[14]
  • พ.ศ. 2547 - ลงนามในสัญญาร่วมกับ ห้างหุ้นส่วนอินเตอร์แบรนด์ เพื่อปรับปรุงเอกลักษณ์ของการบินไทย ภายใต้กลยุทธ์พัฒนาเอกลักษณ์และบริการ รวมทั้งเปิดบริการลูกค้าสัมพันธ์ชั้นพิเศษ (Premium Customer Service) สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ และถือหุ้นร้อยละ 39 เพื่อร่วมทุนเปิดนกแอร์ (อังกฤษNok Air) สายการบินต้นทุนต่ำ (Low Cost Airlines)การบินไทยเปิดเส้นทางบินกรุงเทพ ไป บังคาลอร์ ในวันที่ 29 มีนาคม จิ่งหง ในวันที่ 31 มีนาคม มิลาน ประเทศอิตาลี ในวันที่ 4 พฤษภาคม
  • พ.ศ. 2548 - เปิดตราสัญลักษณ์รูปแบบใหม่ ซึ่งพัฒนาขึ้นจากตราแบบเดิม สะท้อนเอกลักษณ์ไทยตามแนวคิดใหม่ของบริษัทคือ High Trust, World Class and Thai Touch พร้อมทั้งเปลี่ยนเแปลงเครื่องแบบพนักงานประชาสัมพันธ์ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินและภาคพื้น และเปิดจุดบินตรงไปยังมหานครนิวยอร์ก เที่ยวบิน TG790 ในวันที่ 1 พฤษภาคม และนครลอสแอนเจลิส เที่ยวบิน TG794 ของสหรัฐอเมริกา บนเครื่องบินแบบ A340-541 ในวันที่ 2 ธันวาคม การบินไทยเปิดเส้นทางไปยังกรุงมอสโกของรัสเซีย ในวันที่ 1 พฤศจิกายน เปิดเส้นทางบินไปยัง อิสลามาบาด ในวันที่ 2 พฤศจิกายน นอกจากนั้น ยังลงนามสัญญาทำรหัส กับสายการบินนิวซีแลนด์ และแอร์มาดากัสการ์ด้วย
    • รับเครื่องบินแบบ A340-541 ลำแรก ในวันที่ 6 เมษายน ทะเบียน HS-TLA A340-642 ในวันที่ 29 มิถุนายน ทะเบียน HS-TNA[15]
  • พ.ศ. 2549 - เปิดเส้นทางบินไปยังไฮเดอราบัด ในวันที่ 30 ตุลาคม และเปิดเส้นทางบินสายแรกในทวีปแอฟริกา ไปยังโจฮันเนสเบิร์กของแอฟริกาใต้ ในวันที่ 31 ตุลาคม การบินไทยเริ่มย้ายฐานทำการบินหลัก จากท่าอากาศยานกรุงเทพที่ดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ รวมถึงเริ่มโครงการ THAI Grand Season Campaign เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในวโรกาสจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และจัดส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวตลอดปี ด้วยการออกบัตรโดยสารราคาพิเศษในชื่อ THAI Value Card
  • พ.ศ. 2550 - ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศเต็มรูปแบบ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพียงแห่งเดียว โดยยังให้บริการที่ท่าอากาศยานดอนเมือง สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศตามนโยบายรัฐบาล และเปิดจุดบินใหม่กรุงเทพแวะพุทธคยาไปพาราณสีของอินเดียในเที่ยวบินที่ TG8820 เป็นเที่ยวบินที่บินตามฤดูกาลไม่ใช่เส้นทางประจำ นอกจากนี้ ยังเปิดจุดบริการเช็กอินแก่ผู้โดยสารภายในประเทศ (THAI City Air Terminal) ที่สถานีลาดพร้าวของรถไฟฟ้ามหานครด้วย
  • พ.ศ. 2551 - เปิดเส้นทางบินตรงไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ และปรับปรุงเว็บไซต์การบินไทย เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถสำรองที่นั่ง ตรวจสอบเที่ยวบิน หรือเข้าถึงข้อมูลต่างๆ อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น 17 กรกฎาคม การบินไทยเปิดเที่ยวบินจากโตเกียว ท่าอากาศยานนาริตะ มา ภูเก็ต บนเที่ยวบิน TG671 ยกเลิกเที่ยวบิน TG942 จากโรมไปมาดริด และยกเลิกเที่ยวบิน TG942 จากมาดริดไปโรม บินเที่ยวบินจากท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดีมาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเที่ยวสุดท้าย 30 มิถุนายน เที่ยวบิน TG 793
  • พ.ศ. 2552 - เริ่มเส้นทางบินไปยังกรุงออสโลของนอร์เวย์ ในวันที่ 15 มิถุนายน เที่ยวบินที่ TG954 เป็นจุดบินระหว่างประเทศที่ 59 ซึ่งการบินไทยเปิดทำการบินใน 34 ประเทศ เพื่อให้บริการผู้โดยสารครอบคลุมทั่วโลก รับเครื่องบินแบบใหม่ A330-343X ลำแรกทะเบียน HS-TEN ประจำการ 1 เมษายน พ.ศ. 2552
    การบินไทยปรับเปลี่ยนเส้นทาง TG921 แฟรงเฟิร์ตแวะกรุงเทพไปภูเก็ต TG923 แฟรงเฟิร์ตแวะกรุงเทพไปเชียงใหม่ โดยเปลี่ยนให้ทั้งสองเที่ยวบินสิ้นสุดที่กรุงเทพ

พ.ศ. 2553 - ปัจจุบัน[แก้]

A380-841 HS-TUA ประจำการลำแรก 26 กันยายน พ.ศ. 2555
B777-300ER HS-TKU ประจำการลำแรก 21 มกราคม พ.ศ. 2557
Boeing 787-8 Dreamliner เช่ามาประจำการลำแรก 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ในรูปเป็นลำที่หก HS-TQF
A350-900 XWB ประจำการลำแรก 1 กันยายน 2559 ในรูปเป็น HS-THB
  • พ.ศ. 2553 - ครบรอบ 50 ปี การบินไทย โดยตั้งแต่ปี 2549 มีการดำเนินธุรกิจตามแผนยุทธศาสตร์ Mission TG 100 ระยะ 5 ปี ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดี และเปิดเส้นทางบินใหม่ที่กรุงโตเกียว (ท่าอากาศยานฮาเนดะ) ในวันที่ 31 ตุลาคม ของญี่ปุ่น ซึ่งการบินไทยเคยบินมาก่อนหน้านี้แล้ว
ในวันที่ 28 มีนาคม การบินไทยยกเลิกเที่ยวบิน มะนิลาไปโอซาก้า ในวันที่ 2 มิถุนายน การบินไทยเปิดเส้นทางบินใหม่ไปท่าอากาศยานนานาชาติโออาร์ แทมโบเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ หลังหยุดบินไปช่วงหนึ่ง
  • พ.ศ. 2554 - การบินไทยเปิดเส้นทางบินไปบรัสเซลส์ ในวันที่ 17 พฤศจิกายน การบินไทยเปิดเส้นทางบินโคเปนฮาเกนแวะภูเก็ตปลายทางกรุงเทพ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ในเที่ยวบินที่ TG953 และบินเที่ยวบิน TG947 เอเธนส์มากรุงเทพ เที่ยวบินสุดท้ายวันที่ 10 พฤศจิกายน และยกเลิกเส้นทางดังกล่าว
  • พ.ศ. 2555 - การบินไทยรับมอบเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 ซึ่งเป็นเครื่องบินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ลำแรกของประเทศไทย จากโรงงานของบริษัทแอร์บัส โดยจดทะเบียนด้วยชื่อ HS-TUA และมีนามพระราชทานว่า ศรีรัตนะ
เลิกเที่ยวบิน กรุงเทพแวะพุทธคยาไปพาราณสี TG8820 บินเที่ยวสุดท้าย 24 มีนาคม ก่อนให้การบินไทยสมายล์บินเป็นเส้นทางประจำ เปิดเส้นทางบินไปซัปโปะโระ ในวันที่ 30 ตุลาคม ในเที่ยวบินที่ TG670[17] ในวันที่ 2 พฤศจิกายน การบินไทย เปิดเส้นทางบิน สตอกโฮล์มแวะภูเก็ตปลายทางกรุงเทพ เที่ยวบิน TG963
ได้แก่โทะยะมะ[19]เมืองโคมัตสึ จังหวัดอิชิกะวะ ท่าอากาศยานฮิโระชิมะ ในวันที่ 28 ตุลาคม การบินไทยทำการบินลงที่ท่าอากาศยานแมนเชสเตอร์ เป็นครั้งแรกเนื่องจากสภาพอากาศที่ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ ไม่สามารถลงจอดได้[20] การบินไทยเปิดเส้นทางบินใหม่กรุงเทพไปท่าอากาศยานเซ็นได เที่ยวบิน TG680 ในวันที่ 3 ธันวาคม นับเป็นครั้งแรกที่มีเครื่องบินของการบินไทยบินประจำที่เมืองเช็นได การบินไทยปลดเครื่องแบบ ATR72-201 ที่ให้สายการบินนกแอร์เช่า
  • พ.ศ. 2557 - เปิดให้บริการ THAI Sky Connect (บริการ Wi-Fi) บนเครื่องบิน[21];และเปิดเส้นทางบินใหม่ไป ฉงชิ่ง ในวันที่ 1 ตุลาคม ในเที่ยวบิน TG684 และ รับมอบเครื่องบินแบบใหม่ โบอิง 787 ดรีมไลเนอร์ ลำแรกของประเทศไทย ทะเบียน HS-TQA นามพระราชทาน "องครักษ์" รับมอบเครื่องบินแบบ B777-300ER ทะเบียน HS-TKU ถือเป็นเครื่องบินแบบ B777-300ER ลำแรกที่การบินไทยเป็นเจ้าของ และรับเครื่อง Boeing 787-8 Dreamliner ที่เช่ามาจากบริษัท AerCap
วันที่ 31 กรกฎาคม การบินไทยบินด้วย แอร์บัส เอ 300-600 เป็นครั้งสุดท้าย[22]และปลดเครื่องบินรุ่นนี้ออกจากฝูงบิน
และบินตรงจากท่าอากาศยานเซ็นไดมากรุงเทพเที่ยวสุดท้าย วันที่ 18 เมษายน ก่อนยกเลิกเส้นทางดังกล่าว ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557 การบินไทยและการบินไทยสมายล์มีเครื่องบินที่ทำการบินรวมกันมากถึง 102 ลำ[23]มากที่สุดในประวัติศาสตร์ในการทำการบิน ของ บริษัท

การบินไทยคาร์โก้ พ.ศ. 2522- พ.ศ. 2542[แก้]

Douglas DC-8-62F ทะเบียน HS-TGS
B747-200SF ทะเบียน N522MC
การบินไทย มีเครื่องบินแบบคาร์โก้นับจากปี พ.ศ.2522 ถึงปัจจุบันเพียง 3 ลำ นอกนั้น เช่าจากสายการบินอื่นและทำการบินโดยสารการบินอื่น 3 ลำ รวมแล้วการบินไทยมีเครื่องบินขนส่งสินค้ามีเป็นของบริษัทการบินไทย 3 ลำ นับตั้งแต่ก่อตั้ง บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) แต่เคยใช้เครื่องบินขนส่งสินค้าเพื่อขนส่งสินค้าไปต่างประเทศและนำรายได้เข้า บริษัท การบินไทย ทั้งหมด 6 ลำ
  • พ.ศ. 2522- การบินไทยเปิดเที่ยวบินเฉพาะขนส่งสินค้าบนเครื่องแบบ Douglas DC-8-62AF เป็นเครื่องที่การบินไทยซื้อมา ทะเบียน HS-TGS ใช้ขนส่งสินค้าไปกรุงเทพแวะการาจี สิ้นสุดที่แฟรงเฟิร์ต TG020 ปารีส กรุงเทพแวะการาจีสิ้นสุดที่โคเปนฮาเกน TG022 กรุงเทพไปฮ่องกง TG011 โคเปนฮาเกนแวะปารีสแวะการาจีสิ้นสุดที่กรุงเทพ TG023 [25]
  • พ.ศ. 2526- การบินไทยขายเครื่องบิน Douglas DC-8-62AF ให้ กองทัพอากาศไทย ในเดือนพฤษภาคม
  • พ.ศ. 2539- การบินไทยเช่าเครื่องบินมาจากสายการบิน Atlas Air เพื่อมาบินขนส่งสินค้าเพียงอย่างเดียว เป็นเครื่องบิน B747-200B(SF) ทะเบียน N522MC แต่เดิมเป็นเครื่องผู้โดยสารของการบินไทยเองทะเบียน HS-TGB นามพระราชทาน ศิริโสภาคย์ เข้าประจำการเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2522 ต่อมาขายให้กับ สายการบิน Atlas Air เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2539 และเช่ามาจากสายการบิน Atlas Air รับมอบวันที่ 1 ตุลาคม 2539 ขนส่งสินค้าได้ สูงสุด 90 ตัน ระวางบรรทุกสามารถรองรับแผ่นบรรทุกสินค้ามาตรฐานได้ 38 แผ่น
    • การบินไทยใช้เครื่องบินลำนี้เพื่อใช้ขนส่งสินค้า เส้นทางอาทิ กรุงเทพไปฮ่องกง กรุงเทพไปปารีส กรุงเทพไปแฟรงเฟิร์ต กรุงเทพไปสตอกโฮล์ม
  • พ.ศ. 2542- การบินไทยคืนเครื่อง B747-200SF ให้สายการบิน Atlas Air ในวันที่ 30 กันยายน[26]

การบินไทยคาร์โก้ พ.ศ. 2543- พ.ศ.2554[แก้]

B777-FZB ทะเบียน N774SA
  • พ.ศ. 2553- การบินไทยเช่าเครื่องบินแบบ B777-FZB มาใช้บินเที่ยวบินขนส่งสินค้าโดยเช่ามาจากเซาท์เทิร์นแอร์และบินโดยนักบินจากเซาท์เทิร์นแอร์ สองลำได้แก่ทะเบียน N774SA ส่งมอบ 17 กุมภาพันธ์ และ N775SA ส่งมอบ 22 มีนาคม เป็นเครื่องยนตร์แบบ 2x GE GE90-110B1 สามารถบรรทุกสินค้าได้ถึง 102 เมตริกตันต่อเที่ยว ระวางบรรทุกสามารถรองรับแผ่นบรรทุกสินค้ามาตรฐานได้ 37 แผ่น และมีพื้นที่เก็บสินค้าที่ไม่ได้บรรทุกบนแผ่น/ตู้ (Bulk Cargo) อีก 17 ลูกบาศก์เมตร การบินไทยใช้บินเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553[27]
  • พ.ศ. 2554- การบินไทยคืนเครื่อง N774SA ก่อนครบสัญญาเช่า ในวันที่ 27 กรกฎาคม โดยบินเที่ยวบินสุดท้ายในวันที่ 11 กรกฎาคม[36] ไปแฟรงเฟิร์ต
    • ผลประกอบการการบินไทยคาร์โก้ขาดทุนในปีนั้นเกือบ 100 ล้านบาท [37]

การบินไทยคาร์โก้ พ.ศ. 2555 - ปัจจุบัน[แก้]

B747-400BCF ทะเบียน HS-TGJ
  • พ.ศ. 2555- การบินไทยคืนเครื่อง N775SA ในวันที่ 11 มีนาคม เนื่องจากครบสัญญาเช่า 2 ปี
    • การบินไทยเริ่มทำการบินโดย B747-400BCF ทะเบียน HS-TGJ ประจำการ 30 มีนาคม HS-TGH ประจำการ 4 พฤษภาคม เป็นครั้งแรกที่บินเครื่องขนส่งสินค้าแบบ 4 เครื่องยนตร์ โดยเป็นเครื่องบินของการบินไทยเอง เครื่องยนตร์แบบ 4x GE CF6-80C2B1F ขนส่งสินค้าได้สูงสุด 100 ตัน
    • การบินไทยเปิดเส้นทางกรุงเทพแวะเชนไนไปอัมสเตอร์ดัม ในวันที่ 21 พฤษภาคม[38] เป็นเที่ยวขนส่งสินค้า ในเที่ยวบินที่ TG898 เป็นเที่ยวบินแรกหลังจากการบินไทยยกเลิกไปอัมสเตอร์ดัม นานกว่า 15 ปี ไป กรุงเทพแวะโตเกียวไปไทเป TG862 กรุงเทพแวะเดลีสิ้นสุดที่แฟรงเฟิร์ต TG890 กรุงเทพแวะไฮเดอราบัดสิ้นสุดที่แฟรงเฟิร์ต TG894 กรุงเทพไปซิดนีย์ TG865 นะริตะ[39]
  • พ.ศ. 2557- การบินไทยเปิดเส้นทางบินขนส่งสินค้า แฟรงเฟิร์ต แวะ เซี๊ยเหมิน สิ้นสุดที่ กรุงเทพ TG897[40]ในวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557
  • พ.ศ. 2558- ยกเลิกทุกเที่ยวบินขนส่งสินค้าแบบ B747-400BCF ในวันที่ 27 มีนาคม[41]